วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์


ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์
     คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยในทุก ๆ สาขาวิชา ดังนั้นโครงงานคอมพิวเตอร์จึงมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก ทั้งในลักษณะของเนื้อหา กิจกรรม และลักษณะของประโยชน์หรือผลงานที่ได้ ซึ่งอาจแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 5 ประเภท คือ

     1. โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media)
     2. โครงงานพัฒนาเครื่องมือ (Tools Development)
     3. โครงงานประเภทจำลองทฤษฎี (Theory Experiment)
     4. โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน (Application)
     5. โครงงานพัฒนาเกม (Game Development)

1. โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา ลักษณะเด่นของโครงงานประเภทนี้ คือ เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษา โดยการสร้างโปรแกรมบทเรียนหรือหน่วยการเรียน ซึ่งอาจจะต้องมีภาคแบบฝึกหัด บททบทวน และคำถามคำตอบไว้พร้อม ผู้เรียนสามารถเรียนแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่มการสอน โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนนี้ ถือว่าคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์การสอน ซึ่งอาจเป็นการพัฒนาบทเรียนแบบออนไลน์ ให้ผู้เรียนเข้ามาศึกษาด้วยตนเองก็ได้ โครงงาน ประเภทนี้สามารถพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ประกอบการสอนในวิชาต่างๆ โดยผู้เรียนอาจคัดเลือกเนื้อหาที่เข้าใจยาก มาเป็นหัวข้อในการพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา ตัวอย่างโครงงาน เช่น การเคลื่อนที่แบบโปรเจ็กไตล์ ระบบสุริยจักรวาล  ตัวแปรต่างๆ ที่มีผลต่อการชำกิ่งกุหลาบ หลักภาษาไทย  และสถานที่สำคัญของประเทศไทย เป็นต้น

2.โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน โครงงานประยุกต์ใช้งานเป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการ สร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน อาทิเช่น ซอฟต์แวร์สำหรับการออกแบบและตกแต่งภายในอาคาร ซอฟต์แวร์สำหรับการผสมสี และซอฟต์แวร์สำหรับการระบุคนร้าย เป็นต้น โครงงานประเภทนี้จะมีการประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ ซึ่งอาจเป็นการคิดสร้างสิ่งของขึ้นใหม่ หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น  โครงงานลักษณะนี้จะต้องศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ก่อน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการออกแบบ และพัฒนาสิ่งของนั้นๆ ต่อจากนั้นต้องมีการทดสอบการทำงานหรือทดสอบคุณภาพของสิ่งประดิษฐ์แล้วปรับ ปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ โครงงานประเภทนี้ผู้เรียนต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรม และเครื่องมือต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

3.โครงงานพัฒนาเกม โครงงานประเภทนี้เป็นโครงงานพัฒนาซอฟต์แวร์เกมเพื่อความรู้หรือเพื่อความ เพลิดเพลิน เกมที่พัฒนาควรจะเป็นเกมที่ไม่รุนแรง เน้นการใช้สมองเพื่อฝึกคิดอย่างมีหลักการ โครงงานประเภทนี้จะมีการออกแบบลักษณะและกฎเกณฑ์การเล่น เพื่อให้น่าสนใจแก่ผู้เล่น พร้อมทั้งให้ความรู้สอดแทรกไปด้วย ผู้พัฒนาควรจะได้ทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเกมต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วไป และนำมาปรับปรุงหรือพัฒนาขึ้นใหม่ เพื่อให้เป็นเกมที่แปลกใหม่ และน่าสนใจแก่ผู้เล่นกลุ่มต่างๆ

4.โครงงานพัฒนาเครื่องมือ โครงงานประเภทนี้เป็นโครงงานเพื่อพัฒนาเครื่องมือช่วย สร้างงานประยุกต์ต่างๆ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปซอฟต์แวร์ เช่น ซอฟต์แวร์วาดรูป ซอฟต์แวร์พิมพ์งาน และซอฟต์แวร์ช่วยการมองวัตถุในมุมต่างๆ เป็นต้น สำหรับซอฟต์แวร์เพื่อการพิมพ์งานนั้นสร้างขึ้นเป็นโปรแกรมประมวลคำ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือให้เราใช้ในการพิมพ์งานต่างๆบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนซอฟต์แวร์การวาดรูป พัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้การวาดรูปบนเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นไปได้ โดยง่าย สำหรับซอฟต์แวร์ช่วยการมองวัตถุในมุมต่างๆ ใช้สำหรับช่วยการออกแบบสิ่งของ อาทิเช่น ผู้ใช้วาดแจกันด้านหน้า และต้องการจะดูว่าด้านบนและด้านข้างเป็นอย่างไร ก็ให้ซอฟต์แวร์คำนวณค่าและภาพที่ควรจะเป็นมาให้ เพื่อพิจารณาและแก้ไขภาพแจกันที่ออกแบบไว้ได้อย่างสะดวก

5. โครงงานประเภทการทดลองทฤษฎี โครงงานประเภทนี้เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการ จำลองการทดลองของสาขาต่างๆ ซึ่งเป็นงานที่ไม่สามารถทดลองด้วยสถานการณ์จริงได้ เช่น การจุดระเบิด เป็นต้น และเป็นโครงงานที่ผู้ทำต้องศึกษารวบรวมความรู้ หลักการ ข้อเท็จจริง และแนวคิดต่างๆ อย่างลึกซึ้งในเรื่องที่ต้องการศึกษาแล้วเสนอเป็นแนวคิด แบบจำลอง หลักการ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสูตร สมการ หรือคำอธิบาย พร้อมทั้งารจำลองทฤษฏีด้วยคอมพิวเตอร์ให้ออกมาเป็นภาพ ภาพที่ได้ก็จะเปลี่ยนไปตามสูตรหรือสมการนั้น ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น การทำโครงงานประเภทนี้มีจุดสำคัญอยู่ที่ผู้ทำต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ เป็นอย่างดี ตัวอย่างโครงงานจำลองทฤษฎี เช่น การทดลองเรื่องการไหลของของเหลว การทดลองเรื่องพฤติกรรมของปลาปิรันย่า และการทดลองเรื่องการมองเห็นวัตถุแบบสามมิติ เป็นต้น


ที่มาของข้อมูล
- http://www.acr.ac.th/acr/ACR_E-Learning/CAREER_COMPUTER/COMPUTER/M4/ComputerProject/content1.html
- http://www.rayongwit.ac.th/chanarat/unit1/unit1-2.html



พรบ.คอมพิวเตอร์ปี 2558



11 ข้อสำคัญ กฎหมายลิขสิทธิ์ใหม่ เริ่มใช้งาน 4 ส.ค.58นี้!!

พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ (ฉบับที่2) พ.ศ. 2558 มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค. เป็นต้นไป
“หัวใจหลักของกฎหมายลิขสิทธิ์อยู่ที่การห้ามทำซ้ำ ดัดแปลง และเผยแพร่ต่อสาธารณะ แต่ก็มีข้อยกเว้นคือหากไม่ใช่การทำเพื่อการค้า ต้องมีการอ้างอิงที่มาก่อน สามารถทำได้ ภายใต้ข้อยกเว้นคือต้องไม่ทำให้ผลประโยชน์ของเจ้าของลิขสิทธิ์ลดลง หรือกระทบกระเทือนถึงสิทธิ์ของเจ้าของ”
1.ลิขสิทธิ์คุ้มครอง คือ ต้องเป็นงานที่สร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม โดยไม่รวมถึงกระบวนการคิดหรือหรือขั้นตอนการสร้างสรรค์ เช่น บทความ ซอฟต์แวร์ เพลง หนังสือ รูปภาพ ภาพถ่าย ภาพข่าว ภาพวาด  ภาพยนตร์ ละคร เป็นต้น
2.ลิขสิทธิ์ไม่คุ้มครอง เช่น ข่าวประจำวัน,ข้อเท็จจริงต่างๆ,รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย, ระเบียบ, ข้อบังคับ,ประกาศ,คำสั่ง,คำพิพากษา,คำวินิจฉัย,และรายงานของทางราชการ เป็นต้น
3.ห้ามลบ หรือเปลี่ยนแปลง ชื่อเจ้าของลิขสิทธ์
4.ห้ามทำลาย Password ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ใช้ป้องกันการเข้าถึง การแฮ็กหรือหลบเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยี เพื่อเข้าถึงงานลิขสิทธิ์
5.การดูหนัง ฟังเพลง จากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ถือว่าไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ห้ามทำซ้ำ
6.ผู้ให้บริการทางอินเตอร์เน็ต เช่น Youtube ถ้าเอางานที่ละเมิดลิขสิทธิ์ออกจากเว็บ ถือว่าไม่ผิด
7.สามารถนำรูปภาพ หนังสือ ซีดีเพลง ไปขายมือสองได้ แต่ต้องดูกฏหมายอื่นๆ รองรับด้วย
8.นักแสดงมีสิทธฺระบุชื่อตัวเองในการแสดง และห้ามไม่ให้ใครทำเสียชื่อเสียง
9.ถ้าปรากฎหลักฐานว่าจงใจละเมิด ศาลสั่งให้จ่ายค่าเสียหายเพิ่มขึ้น ไม่เกิน2 เท่า
10.การนำ Embed ใน Youtube มาลงเว็บไซต์หรือแชร์ ถือว่าไม่ละเมิด
11.ศาลมีอำนาจ สั่งริบ หรือทำลายสื่งที่ละเมิด
      ผู้กระทำผิดใหม่ มีโทษปรับ 10,000-100,000บาท      
     หากกระทำเพื่อเชิงพาณิชย์ มีโทษจำคุก 3 เดือน -2ปี หรือปรับ 50,000-400,000บาท หรือทั้งจำและปรับ 
Cr.http://www.news-mahachon.com/news-images/news-036134.jpg
                      Cr.http://www.xn--12cg5gc1e7b.com/wp-content/uploads/2015/08/Copy_new_s.jpg

                              Cr.https://www.youtube.com/watch?v=6E6rNEnyKLQ
ที่มาของข้อมูล
http://finlawtech.com/wp
http://finlawtech.com/11-ข้อสำคัญ-กฎหมายลิขสิทธิ์ใหม่-เริ่มใช้งาน-4-ส-ค-58นี้/
http://www.ipthailand.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=1618:digital-economy-10-000-400-000&catid=8:news&Itemid=332
http://library2.parliament.go.th/giventake/content_nla2557/law6-050258-7.pdf




วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

7วิชาสามัญ

3061-0

1. วิชาภาษาไทย คะแนนเต็ม 100 คะแนน มีผู้เข้าสอบ 149,384 คน
ผู้เข้าสอบมีคะแนนเฉลี่ย 58.66 คะแนน ขณะที่คะแนนสูงสุด 98.00 คะแนน และคะแนน ต่ำสุด 8.00 คะแนน
2. วิชาสังคมศึกษา คะแนนเต็ม 100 คะแนน มีผู้เข้าสอบ 147,879 คน
ผู้เข้าสอบมีคะแนนเฉลี่ย 35.99คะแนน ขณะที่คะแนนสูงสุด 78.00 คะแนน และคะแนน ต่ำสุด 6.00 คะแนน
3. วิชาภาษาอังกฤษ คะแนนเต็ม 100 คะแนน มีผู้เข้าสอบ 150,210 คน
ผู้เข้าสอบมีคะแนนเฉลี่ย 29.33 คะแนน ขณะที่คะแนนสูงสุด 95.00 คะแนน และคะแนน ต่ำสุด 0.00 คะแนน
4. วิชาคณิตศาสตร์ คะแนนเต็ม 100 คะแนน มีผู้เข้าสอบ 136,033 คน
ผู้เข้าสอบมีคะแนนเฉลี่ย 20.35คะแนน ขณะที่คะแนนสูงสุด 100.00 คะแนน และคะแนน ต่ำสุด 0.00 คะแนน
5. วิชาฟิสิกส์ คะแนนเต็ม 100 คะแนน มีผู้เข้าสอบ 93,384 คน
ผู้เข้าสอบมีคะแนนเฉลี่ย 26.73 คะแนน ขณะที่คะแนนสูงสุด 100.00 คะแนน และคะแนน ต่ำสุด 0.00 คะแนน
6. วิชาเคมี คะแนนเต็ม 100 คะแนน มีผู้เข้าสอบ 87,184 คน
ผู้เข้าสอบมีคะแนนเฉลี่ย 31.16 คะแนน ขณะที่คะแนนสูงสุด 100.00 คะแนน และคะแนน ต่ำสุด 4.00 คะแนน
7. วิชาชีววิทยา คะแนนเต็ม 100 คะแนน มีผู้เข้าสอบ 93,203 คน
ผู้เข้าสอบมีคะแนนเฉลี่ย 29.05 คะแนน ขณะที่คะแนนสูงสุด 88.00 คะแนน และคะแนน ต่ำสุด 0.00 คะแนน
ประกาศผล_7วิชาสามัญ-58
ข้อสอบและเฉลย7วิชาสามัญ
ปี2555
                                        ข้อสอบ              เฉลย
  1. ไทย                         คลิ๊ก                คลิ๊ก
  2. สังคม                       คลิ๊ก                คลิ๊ก        
  3. อังกฤษ                     คลิ๊ก                คลิ๊ก 
  4. คนิตศาสตร์              คลิ๊ก                คลิ๊ก 
  5. ฟิสิก                         คลิ๊ก               
  6. เคมี                          คลิ๊ก                คลิ๊ก 
  7. ชีวะ                         คลิ๊ก                คลิ๊ก 
ปี2556
                                       ข้อสอบ                 เฉลย
  1. ไทย                       คลิ๊ก                     
  2. สังคม                     คลิ๊ก                    
  3. อังกฤษ                  คลิ๊ก                     
  4. คนิตศาสตร์           คลิ๊ก                     คลิ๊ก
  5. ฟิสิก                      คลิ๊ก                     
  6. เคมี                       คลิ๊ก                     
  7. ชีวะ                       คลิ๊ก                     
 ปี2557
                                   ข้อสอบ                 เฉลย
  1. ไทย                       คลิ๊ก                     คลิ๊ก
  2. สังคม                     คลิ๊ก                     คลิ๊ก
  3. อังกฤษ                  คลิ๊ก                     คลิ๊ก
  4. คนิตศาสตร์           คลิ๊ก                     คลิ๊ก
  5. ฟิสิก                      คลิ๊ก                     คลิ๊ก
  6. เคมี                       คลิ๊ก                     คลิ๊ก
  7. ชีวะ                       คลิ๊ก                     คลิ๊ก



ค่านิยม 12 ประการ


ผู้ว่าฯสิงห์บุรีสั่งหน่วยงานราชการ นำหลักค่านิยม 12 ประการมาใช้ปราบทุจริต



     มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ค่านิยม 12 ประการ ข้อที่ 1by  KiDDy Apps
   
   ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน
   
   กตัญญูต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์
ค่านิยม 12 ประการ ข้อที่ 3 by  KiDDy Apps
  
    ใฝ่หาความรู้ หมั่นศึกษาเล่าเรียนทั้งทางตรงและทางอ้อม
ค่านิยม 12 ประการ ข้อ 4 by  KiDDy Apps
   
   รักษาวัฒนธรรมประเพณีไทย
ค่านิยม 12 ประการ ข้อที่ 5 by  KiDDy Apps
   
   มีศีลธรรม รักษาความสัตย์
ค่านิยม 12 ประการ ข้อที่ 6 by KiDDy Apps
   
   เข้าใจเรียนรู้การเป็นประชาธิปไตย
ค่านิยม 12 ประการ ข้อที่ 7 by KiDDy Apps
   
   มีระเบียบ วินัย เคารพกฎหมาย ผู้น้อยรู้จักการเคารพผู้ใหญ่
ค่านิยม 12 ประการ ข้อที่ 8 by KiDDy Apps
    
  มีสติรู้ตัว รู้คิด รู้ทำ
ค่านิยม 12 ประการ ข้อที่ 9 by KiDDy Apps
   
   รู้จักดำรงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ค่านิยม 12 ประการ ข้อที่ 10 by KiDDy Apps
    
  มีความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจฝ่ายต่ำ 
ค่านิยม  12 ประการ ข้อที่ 12  (by KiDDy Apps)
     
 คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง

วีดิโอค่านิยม12ประการ

Cr:https://www.youtube.com/watch?v=eS41IYMHx5g

วีดิโอเพลงค่านิยม12ประการ

Cr:https://www.youtube.com/watch?v=eS41IYMHx5g


ที่มาของข้อมูล 
:http://www.ookbeecomics.com/illustrations/-12---9-by-KiDDy-Apps/detail-page/858
:http://hilight.kapook.com/view/106808

บทความที่น่าสนใจ

ถั่วงอก

               ถั่วงอก คือต้นอ่อนระยะเริ่มงอกของเมล็ด แต่คนส่วนใหญ่มักนึกถึงเมล็ดของถั่วเขียวงอก คนไทยคุ้นเคยกับถั่วงอกจากถั่วเขียวมาช้านาน เมื่อกระแสเรื่องสุขภาพกำลังเป็นที่สนใจ ทำาให้มีการนำเมล็ดพืชหลายชนิดมาเพาะเป็นต้นอ่อน ทำให้ในปัจจุบันถั่วงอกและเมล็ดงอกที่เพาะขายเป็นการค้ามีหลายชนิด เช่น

ถั่วงอก เพาะจากถั่วเขียวเมล็ดเขียวและเมล็ดดำา ใช้เวลาเพาะประมาณ 3 วัน มีรสกรอบ มีวิตามิน และเกลือแร่สูง
ถั่วงอกหัวโต หรือ ถั่วเหลืองงอก ใช้เวลาเพาะนานวันกว่าถั่วงอก มีกลิ่นถั่วและเนื้อกระด้างกว่าถั่วงอก หัวแข็ง
โต้วเหมี่ยว เพาะจากเมล็ดถั่วลันเตา หวานกรอบ  รสเหมือนถั่วลันเตา ใช้เวลาเพาะประมาณ 10 วันก็ได้ต้นอ่อนที่  เก็บกินได้ มีวิตามินบี และวิตามินซีสูง
ไควาเระ เพาะจากเมล็ดหัวไชเท้า รสกรอบ หวานซ่า  เล็กน้อย มีวิตามินเอ วิตามินซี 
และโปแตสเซียมสูง
อัลฟาลฟา (Alfalfa) เพาะจากถั่วลันเตาชนิดหนึ่ง  นิยมใช้เป็นผักสลัด มีโปรตีนและวิตามินบีสูง
ถั่วแดงงอก เพาะจากถั่วแดง หรือ adzuki beans เพาะง่ายเหมือนถั่วเขียวงอก มีหัวโต ช่วยให้กรอบมัน
ถั่วลิสงงอก กรอบอร่อย มีรสมัน ถั่วลิสงเพาะยากกว่าถั่วอื่น ๆ เพราะขึ้นราได้ง่าย ดังนั้นถึงแม้จะอร่อยมาก แต่กลับ  มีคนเพาะขายกันน้อย พบมากในภาคใต้


 ปัจจุบันในต่างประเทศยังนิยมนำเมล็ดธัญพืชหลายชนิดมาทำเมล็ดงอก เช่น ข้าวสาลีงอก ข้าวโอ๊ตงอก ข้าวบาร์เลย์งอก 
ข้าวไรย์งอก ข้าวโพดงอก ฯลฯ ทำให้ได้เมล็ดงอกที่หลากหลายมากขึ้น                    ถั่วงอกและเมล็ดงอกอุดมไปด้วยโปรตีนและวิตามิน  คนเอเชียรับประทานถั่วงอกทั้งดิบและสุก จนกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอาหารไปแล้ว มีหลักฐานทางโบราณคดียืนยันว่า “คนจีน” เป็นชนชาติแรกที่รู้จักวิธีการเพาะถั่วงอกกินเป็นอาหารมาไม่น้อยกว่า 4,000 ปีแล้ว ซึ่งในสมัยนั้นจะใช้เมล็ดถั่วเหลืองในการเพาะ ทำให้ถั่วงอกที่ได้มีลักษณะหัวโต จึงนิยมเรียกกันว่า “ถั่วงอกหัวโต” คนจีนโบราณใช้ถั่วเหลืองงอกเป็นแหล่งวิตามินซีในฤดูหนาวที่ผักและผลไม้หายาก แม้แต่กะลาสีเรือก็กินถั่วงอกเพื่อช่วยป้องกันรักษาโรคลักปิดลักเปิดส่วนโปรตีนในถั่วงอกจะมีมากกว่าถั่วธรรมดาเล็กน้อย
          นอกจากนั้น ในถั่วงอกยังมีวิตามิน บี 12 ซึ่งจำาเป็นสำหรับการซ่อมแซมเซลล์ มีธาตุเหล็กและเลซิตินช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท ถั่วงอกเป็นอาหารที่ย่อยง่าย มีเส้นใยสูง เนื่องจากในกระบวนการงอกของเมล็ดถั่วโปรตีนจะถูกย่อยเป็นกรดอะมิโน แป้งเป็นคาร์โบไฮเดรตหรือกลูโคส และไขมันกลายเป็นกรดไขมัน ทำให้ร่างกายสามารถย่อยเพื่อนำไปใช้ได้อย่างง่ายดาย จึงช่วยเรื่องระบบการย่อยอาหาร ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนกับการกินเนื้อสัตว์ช่วยให้การขับถ่ายดี ช่วยดูดซับของเสียออกจากร่างกาย  เมื่อระบบร่างกายไม่ต้องทำงานหนัก ร่างกายจึงเสื่อมช้าทั้งยังให้พลังงานต่ำปราศจากไขมัน ไม่เพียงเท่านั้นในถั่วงอกยังมีสารออซินัน (Auxinon) ซึ่งเป็นสารต้านความแก่ คนที่กินถั่วงอกเป็นประจำจึงยังคงความหนุ่มสาวได้ยาวนานไม่แก่เกินวัย และเหมาะที่จะใช้เป็นอาหารสำาหรับคนที่ต้องการลดน้ำ หนัก นักโภชนาการจึงยกให้ถั่วงอกเป็นสุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพอีกอย่างหนึ่ง

 อันตรายในถั่วงอกและต้นถั่วงอก
                     แม้ว่าถั่วงอกและเมล็ดงอกจะมากคุณค่าแต่ก็ยังมีอันตรายแอบแฝงอยู่ อันตรายจากพืชเหล่านี้มีได้ 3 ทาง คือ 
มาจากตัวมันเอง ที่มีสารมีสารพิษพวกที่เรียกว่า ไฟเตต ซึ่งเมื่อกินเข้าไปจะไปจับแร่ธาตุบางชนิดที่อยู่ในอาหาร ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่านั้นเข้าร่างกาย ส่งผลให้เป็นโรคขาดแร่ธาตุ สารพิษเหล่านี้สามารถทำลายได้โดยการต้ม จึงควรรับประทานถั่วงอกสุกดีกว่าถั่วงอกดิบ หากจะรับประทานดิบก็ไม่ควรบริโภคปริมาณมาก
อันตรายต่อมาคือ สารเคมีที่เป็นพิษ ถั่วงอกส่วนใหญ่ที่ขายในท้องตลาดอาจมีการใช้สารเคมี เช่น สารฟอกขาว สารทำให้ถั่วงอกอวบอ้วน สารเร่งความสด ซึ่งสารเหล่านี้อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย หากกินเข้าไปอาจมีผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร ระบบหายใจ ระบบประสาท และอาจทำให้ เสียชีวิตได้ ดังนั้นจึงไม่ควรเลือกถั่วงอกที่มีสีขาวผิดปกติ หลีกเลี่ยงถั่วงอกที่มีสีคล้า ดำ  นอกจากนี้ก่อนบริโภคถั่วงอกควรทำให้สุกเสีย  ก่อนเพราะสารไฮโดรซัลไฟต์ที่ใช้ฟอกสีที่อาจมีอยู่ในถั่วงอกจะถูกทำลายด้วยความร้อน ซึ่งจะปลอดภัยกว่าการนำถั่วงอกดิบมารับประทานสด ๆ                     อันตรายลำดับสุดท้ายคือ จุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค  มีรายงานการระบาดของเชื้อโรคที่มีต้นเหตุมาจากถั่วงอกดิบและเมล็ดงอก ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1973 – 2005  ถึง 37 ครั้งในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาไม่น้อยกว่า 30 ครั้ง โดยใน 2ปีหลังมีผู้ป่วยกว่า 400 ราย การระบาดครั้งใหญ่สุดเกิดในญี่ปุ่น  เมื่อปี 2539 มีผู้ล้มป่วยกว่า 9,000 คน และเสียชีวิตถึง 11 คน ส่วนการระบาดในเยอรมันเมื่อปี 2554 ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 33 คน และมีผู้ป่วยกว่า 3,100 คน แม้ในปัจจุบันก็ยังมีรายงานการระบาดของเชื้อเนื่องมาจากเมล็ดงอกอยู่

ขอบคุณข้อมูลจาก:http://www.vcharkarn.com/varticle/44032

ความรู้เรื่อง Blogger

ความรู้เกี่ยวกับ Blog

                      Web log หรือเรียกสั้นๆ ว่า blog (บล็อก) เป็นหนึ่งในความพยายามที่จะนำเวบไปใช้งานในรูปแบบอื่น                       ให้อธิบายง่ายๆ blog คือ ไดอารี่ออนไลน์นั่นเอง เริ่มจากเราทำการสมัครสมาชิกของ blog หรือจะตั้งเซิร์ฟเวอร์เองก็ได้ แล้วก็เขียนเรื่องราวต่างๆ ตามใจชอบ โดย blog จะแสดงผลตามวันเหมือนกับไดอารี่ทุกประการ หลายคนอาจเกิดคำถามว่า แล้วจะเขียนเรื่องอะไรลงใน blog ของเราดีล่ะ อันนี้หลากหลายมาก (เหมือนกับเราเขียนไดอารี่นั่นแหละ) บางคนอาจจะบันทึกเรื่องที่เจอในแต่ละวัน บางคนอาจจะเขียนวิจารณ์ข่าวสารบ้านเมือง บางคนอาจจะแนะนำเวบไซต์ที่เจอมาในวันนั้น แต่งกลอน โพสรูปที่ไปเที่ยวมา หรือบางครั้งก็ร่วมกันเขียนเป็นทีม ขึ้นกับเจ้าของ blog ว่าต้องการเขียนไปในทางไหน 

ทำไม blog ถึงมีค่าแก่การพูดถึง? 

         อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว การเขียน blog ฟังดูธรรมดามากเลยใช่มั้ยครับ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นสิ่งที่ฮิต และอินเทรนด์ที่สุดบนอินเทอร์เน็ตไปแล้ว ผมลองมานั่งนึกสาเหตุที่ทำให้ใครๆ ก็ติด blog มาได้หลายประการดังนี้

1. เขียน blog เหมือนกับเล่นเวบบอร์ด 

กฎข้อแรกของการสร้างเวบไซต์ให้ติดตลาด คือ ต้องทำให้ผู้ชมกลับมาเยี่ยมเวบของเราอีกให้ได้ และวิธีที่ง่ายและได้ผลที่สุดคือ สร้างชุมชนของผู้ชม (Community) ให้เกิดขึ้นบนเวบของเรา เพราะเหตุนี้จึงทำให้เวบที่เน้นการสนทนาผ่านเวบบอร์ดอย่าง Pantip.com กลายเป็นเวบไซต์อันดับหนึ่งของเมืองไทยมาหลายปี blog เป็นการแสดงความคิดเห็นของเราให้คนอื่นอ่านวิธีหนึ่ง เพียงแต่เป็นเวบบอร์ดส่วนตัวที่คนเขียนคือเจ้าของ blog เท่านั้น (ผู้ชมสามารถแสดงความเห็นได้เป็น comment) 

2. เขียน blog ไม่ต้องระวังเท่าเวบบอร์ด 

จุดอ่อนของเวบบอร์ดคือคนเยอะ และเมื่อเกิดความขัดแย้งกัน ก็จะทะเลาะกันใหญ่โต Pantip.com เจอปัญหานี้มากจนต้องตั้งระบบสมาชิกที่เข้มงวด ทำให้ลำบากในการสมัคร blog เข้ามาทดแทนในจุดนี้ได้พอดี เราสามารถเขียนอะไรลงใน blog ของเราก็ได้โดยไม่ต้องกลัวใครว่า ไม่ต้องกลัวข้อมูลมั่ว (เพราะว่าเป็น blog ของเรานี่นา) ทำให้หลายๆ คนเกิดความสบายใจในการเขียน blog มากกว่าเวบบอร์ดที่มีคนมาคอยเถียงหรือจับผิด 

3. blog มีเนื้อหาต่อเนื่อง 

คนที่สนใจในเรื่องเดียวกันก็มักจะเข้าเวบบอร์ดเฉพาะเรื่อง แต่ปัญหาอีกอย่างของเวบบอร์ดคือ กระทู้ตกเร็ว และแต่ละกระทู้ไม่ต่อเนื่องกัน เพราะต่างคนต่างโพส แต่ blog นั้นเป็นของเจ้าของคนเดียว เขียนคนเดียว สามารถควบคุมความต่อเนื่องของเนื้อหาได้สะดวกกว่า ยิ่งเจ้าของ blog นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่เราสนใจพอดี นี่จะสนุกมากเลยครับ ได้อ่านอะไรๆ ที่วงในเค้ารู้กันได้จาก blog นี่ล่ะ 

4. มันก็เหมือนแอบอ่านไอดารี่คนอื่น 

การแอบอ่านไดอารี่เป็นอะไรที่ไม่ดีแต่สนุกมาก blog นั้นกลับกัน เป็นไดอารี่ที่อยากให้คนอื่นอ่าน ดังนั้นเจ้าของ blog จะประดิษฐ์ ประดอยหาเรื่องที่น่าสนใจมาเขียนให้อ่าน ทำให้เรื่องใน blog นั้นก็น่าสนใจมากขึ้น

Cr:https://www.gotoknow.org/posts/52930

วีดิโอสอนสร้าง Blogger

Cr:https://www.youtube.com/watch?v=Pj1zlGVPVMo